สิ่งที่ไม่ฆ่าฉัน..จะทำให้ฉันเข้มแข็งกว่าเดิม
(นิตช์เช)
นอกเหนือจากหนังสือที่ทำให้มองโลกด้วยสายตาอ่อนโยน หัวใจเต้นละมุน
อย่างหนังสือในชุดตัวหนังสือคุยกันของพี่จิก ประภาส
หนังสืออีกเล่มที่ฉันหยิบติดมือมาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วม
และต้องระหกระเหินมานอนค้างยังที่ทำงาน
คือหนังสือของวิคเตอร์ อี แฟรงเกิล..Man Search for Meaning
ที่มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า
มนุษย์ ความหมาย และค่ายกักกัน
ฉันเคยเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบลงใหม่ๆ
ผ่านมาแล้วห้าปี ไม่ว่าจะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านซ้ำอีกกี่ที
สิ่งที่ได้รับก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย
วิคเตอร์ อี แฟรงเกิล เป็นจิตแพทย์ที่เป็นอดีตเชลยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ผู้ซึ่งสามารถรอดชีวิตมาได้จากค่ายกักกันที่โหดร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ค่ายที่เค้าบอกเล่าในหนังสือว่า ไม่ได้ใหญ่โตจนเป็นที่รู้จัก
“แต่เป็นที่ที่การทำลายเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง”
ในที่ที่มนุษย์ผู้หนึ่งถูกฉีกกระชาก พรากจากทุกสิ่งที่เคยมี
ทรัพย์สมบัติ สถานะทางสังคม ชื่อเสียง ครอบครัว คนรัก
ที่ที่ง่ายดายเหลือเกินที่จะทำให้คนคนหนึ่งสูญสิ้นคุณค่าแห่งการมีชีวิตไป
ต้องถูกทารุณกรรมทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ
เกียรติ ศักดิ์ศรี คุณค่าความเป็นคนถูกเหยียบย่ำไร้ความหมาย
ได้รับการปฏิบัติไม่ต่างอะไรจากเดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น
เดรัจฉานที่เพียงการกระดิกนิ้วแค่ครั้งเดียว ก็สามารถถูกฆ่าได้ทุกขณะ
ในที่เดียวกันนี้เองที่วิคเตอร์ได้ค้นพบสิ่งที่เรียกว่า “อิสรภาพ”
เป็นอิสรภาพสูงสุดที่มนุษย์สามารถมีได้ ไม่ว่าเขาจะถูกกักขัง ทรมาน
หรือตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน
เพราะมันคืออิสรภาพทางความคิด ที่คนคนหนึ่ง"สามารถเลือกได้" ว่าตัวเขาจะเป็นอย่างไร
นั่นทำให้คนคนหนึ่งยังคงสามารถรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ได้
แม้จะอยู่ในสภาพตกต่ำอย่างในค่ายกักกันก็ตาม
มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ข้าพเจ้าหวั่นเเกรง ..สิ่งนั้นคือ
ข้าพเจ้าหาได้มีคุณค่าคู่ควรกับความทุกข์ทรมานที่ได้รับไม่
(ดอสโตเยฟกี้)
หนังสือเล่มนี้ให้ความหมายกับความทุกข์ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
และในความทุกข์ที่เราต้องเผชิญ มีความหมายซ่อนเร้นอยู่ในตัวของมัน
ถ้าหากเราเลือกถูก ความทุกข์จะยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากมากที่สุด การยอมรับชะตากรรม
และความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นตามมา ตลอดจนวิธีที่เราแบกรับความทุกข์ทั้งมวลเอาไว้
ล้วนแล้วแต่สร้างโอกาสเหลือคณานับที่จะเพิ่มความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าให้แก่ชีวิต
เราอาจดำรงรักษาความกล้าหาญองอาจ เกียรติศักดิ์ศรี และปราศจากความเห็นแก่ตัว
หรืออาจลืมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตน และมีชีวิตไม่ดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ในท่ามกลางการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอกมุ่งจะปกป้องตนเองนั้น
เรามีเสรี เราเลือกได้ !
ความเข้มแข็งภายในของจิตใจคนเราผลักดันให้เราทำตัวอยู่เหนือชะตากรรมภายนอกได้
หนังสือเล่มนี้ตอกย้ำศรัทธาของฉันต่อสิ่งนั้น :)
บุคคลผู้ซึ่งมีเหตุผลจะมีชีวิตอยู่ ย่อมสามารถอดทนต่อสภาพที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดได้เกือบทุกอย่าง
แม้แต่ความทุกข์เอง ก็เป็นเหตุผลแห่งการดำรงอยู่ของคนได้..เชื่อไหมคะ
อาจารย์ของฉันเคยเล่าถึงเรื่องราวของชายชราคนหนึ่ง ที่เป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง
เนื่องจากสูญเสียภรรยาผู้เป็นที่รัก เมื่อไม่มีภรรยา เค้าก็ไม่รู้ว่า
จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน
จิตแพทย์ได้พูดคุยซักถามกับชายคนนี้ ว่าแต่งงานกับภรรยามากี่ปี
รักกันมากแค่ไหน แล้วในทางตรงกันข้าม หากเป็นชายชราที่ตายก่อน
ภรรยาของเค้าจะเป็นอย่างไร
ชายชราตอบว่า ถ้าเป็นเค้าที่ตายก่อนภรรยาก็คงมีสภาพทุกข์ทรมานใจไม่ต่างกัน
จิตแพทย์จึงตอบว่านี่แหละเหตุผลที่เค้าต้องมีชีวิตอยู่
เค้าต้องเป็นฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นฝ่ายทนแบกรับความทุกข์ทรมาน
เค้าต้องเป็นฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ ภรรยาเค้าเป็นฝ่ายที่ต้องตาย
เพื่อว่าเธอจะได้ไม่ต้องมีโอกาสเผชิญหน้ากับความทุกข์ที่เค้าเป็นอยู่ในขณะนั้น
เหตุผลเพียงเท่านี้เอง ที่ทำให้ชายคนนั้นเข้าใจและยอมรับ
ความหมายของความทุกข์ และความหมายของการมีชีวิต
ภารกิจที่เค้า ต้อง ! เป็นผู้กระทำ
แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่กับความคะนึงหาภรรยาผู้เป็นสุดที่รักทุกเมื่อเชื่อวัน
เพราะไม่ว่าด้วยความเป็นหรือความตาย เค้าก็ยินดีจะเป็นฝ่ายแบกรับความทุกข์นั้นแทนภรรยา
จนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง..
ความรักนั้นลึกซึ้งเกินกว่าสรีระสังขารของคนที่เรารัก
ความรักได้ให้ความหมายลึกซึ้งสุดหยั่งในจิตวิญญาณของคน
ไม่ว่าคนๆนั้นจะยังมีตัวตน..ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม..ก็ล้วนหามีความสำคัญใดๆไม่
จงเก็บฉันตราตรึงผนึกไว้ในใจเธอ..เพราะความรักนั้นทรงอานุภาพเข้มแข็งเทียบเท่าความตาย
เพราะมนุษย์ทุกคน ล้วนมีค่ายกักกันเป็นของตัวเอง
ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว ทั้งที่มองเห็น หรือไม่เห็นก็ตาม
บางครั้งเราดิ้นรนพยายามจะหลุดพ้นจากมัน แต่บางครั้งก็ไม่
ในทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังต้องตัดสินใจ เพื่อยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ในทุกครั้งที่ถามตัวเองว่า ทำไมถึงต้องเป็นคนในแบบที่เป็นอยู่
ในเมื่อมีอีกวิถีทางที่ง่ายกว่า และ..ใครๆเค้าก็ทำกัน
เป็นทุกครั้งที่ฉันจะเลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วฉันก็จะพบว่า
ทั้งค่ายกักกันส่วนตัว และทางที่ฉันเลือกนั้น มันเทียบไม่ได้เลยแม้เพียงส่วนเสี้ยวของ
หน้าประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้
และมีหลายครั้งที่ฉันต้องหยุดอ่าน ..
สูดลมหายใจยาวๆเข้าปอดทั้งด้วยความสยดสยอง และสะเทือนใจ
"ภาพ"ที่เกิดจากการใช้หัวใจซึมซับจากตัวอักษรที่ถ่ายทอดมานั้น
แจ่มชัด..แจ่มชัดจนเกินไป..จนไม่อาจทนอ่านต่อเนื่องกันครั้งละนานๆได้
แต่ถึงอย่างนั้นความเป็นจริงที่ชัดยิ่งกว่า จัดจ้าเปล่งประกายจนแทบจะรู้สึกแสบตา
คือคุณค่าของอิสรภาพทางความคิด ศรัทธา ความรัก และความหวัง
สิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครหรืออะไรในโลกมาพรากจากเราได้ ไม่ว่าโลกใบนี้จะโหดร้ายเพียงใดก็ตาม
Cr.inquisitr.com
และสำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้..
ฉันไม่ได้เลือกหยิบหนังสือเล่มนี้มาเพื่อตัวเองเท่านั้น
แต่ฉันเลือกมาเพราะรู้ว่า ตัวเองกำลังต้องการศรัทธาเป็นอย่างมาก
ในการที่จะใช้ทั้งความรู้ และหัวใจ พูดคุยกับใครหลายต่อหลายคนที่เดินเข้ามาพบฉัน
ผู้คนที่กำลังทดท้อ ทอดอาลัย รู้สึกสูญเสีย สูญสิ้น..หมดหวัง
อย่างน้อย ฉันอยากทำให้เค้าได้รู้สึกว่าชีวิตเค้ามีคุณค่า มีความหมายบางอย่าง
มีคุณค่า มีความหมายกว่ารถ กว่าบ้าน กว่าข้าวของมากมายที่สูญสลายหายไปกับน้ำในพริบตา
“ถ้าถึงเวลาจริงๆ เวลาที่น้ำลด แล้วเราต้องเริ่มต้นกันใหม่
เราอาจจะได้มานั่งทบทวน ว่าสิ่งไหนจำเป็นมากที่สุดที่จะทำให้เราอยู่ได้
สิ่งไหนไม่จำเป็น หรือจำเป็นรองลงมา พวกตู้โชว์ที่ป้าย้ายไปไม่ทัน
มันเทียบไม่ได้หรอกกับการที่ป้ายังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ ลูกสาวป้ายังยืนอยู่ตรงนี้..ข้างๆป้า
ถ้าชีวิตต้องเริ่มต้นใหม่ มันไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับความแข็งแรงของเราทั้งร่างกายและจิตใจ
รวมถึงการที่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก..แค่นั้นล่ะป้า..แล้วคนเราจะเริ่มต้นใหม่ได้อีก
เพราะงั้นเชื่อเถอะ ดูแลตัวเองดีๆก่อนนะป้านะ"
แม้คำพูดอาจตะกุกตะกัก แต่ฉันถ่ายทอดความรู้สึก ความเชื่อ
และศรัทธาต่อชีวิตอย่างสุดจิตสุดใจไปกับคำพูดนั้น
และได้เห็นหน้าตาป้าที่คลายความหม่นหมองลง
อาจจะด้วยว่ามีเพื่อนร่วมทุกข์ อาจจะด้วยว่าเริ่มรู้สึกถึงความหมายของความทุกข์
อาจจะด้วยความรู้สึกดีที่ได้ตระหนักว่ายังมีลูกอยู่เคียงข้าง
อาจจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่มันทำให้ฉันรู้สึกดีเหลือเกิน
และเมื่อจะมองสบตากับลูกสาวป้าบ้าง ก็เห็นป้ายน้ำตาอยู่ป้อยๆอ่ะ ^^
มนุษย์ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไขและลิขิตเอาไว้แล้วอย่างสมบูรณ์แบบ
ตรงกันข้าม มนุษย์ลิขิตตัวเองว่าจะยอมแพ้แก่สถานการณ์ต่างๆ หรือจะยืนหยัดสู้กับมัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในที่สุดแล้วมนุษย์ก็คือผู้ลิขิตตัวเอง
และฉันเองก็เชื่อเช่นนั้น :)