หากต้องรอนแรมลอยลำในเรือชูชีพลำน้อย กลางมหาสมุทรแปซิฟิกอันเวิ้งว้าง
ผ่านเวลาสองร้อยยี่สิบเจ็ดวันอย่างเชื่องช้ายาวนาน
ต่อสู้กับความหิวโหย หวาดกลัว สิ้นหวัง และเดียวดาย
ในสถานการณ์เช่นนั้น หากเราสามารถร้องขอสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่จะ “ลงเรือลำเดียวกัน”กับเรา
จากพระเจ้า..หรือโชคชะตาได้ คุณจะเลือกขอสิ่งมีชีวิตชนิดใดกันคะ :)
พาย พาเทลศรัทธาในพระเจ้า ..
ไม่แค่พระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าในศาสนาเดียว
แต่พายนับถือพระผู้สร้างและผู้ทำลายในศาสนาฮินดู และหลักธรรมที่ทำให้เขาเกิดความกระจ่างในเรื่องจักรวาล
รู้จักที่ทางของตัวเองในจักรวาลนี้
พายนับถือศรัทธาในพระเยซูคริสต์ และมีความรักของพระองค์อยู่ในหัวใจ
พายนับตัวเองเป็นชาวคริสต์ตั้งแต่ได้รู้จักพระเยซูเจ้า ก่อนจะได้รับศีลล้างบาปด้วยซ้ำ
และแก่นแท้ของศาสนาอิสลามนั้น สวยงามมาก แนวคิดเรื่องภราดรภาพและการอุทิศตน
ทำให้พายเพียรเฝ้าขัดเกลาจิตใจของตนเพื่อให้เข้าถึง สนิทสนม และเปี่ยมไปด้วยความรักต่อองค์อัลลอฮ์
สำหรับพายแล้ว “ทุกศาสนาล้วนเป็นสัจจะ” และเขาก็แค่อยากจะรักในพระเจ้าเท่านั้น
เพราะไม่ว่าโลกใบนี้จะมีสักกี่ศาสนาก็ตาม ..พระเจ้าที่มีเพียงพระองค์เดียว :)
แล้วในวันหนึ่ง ศรัทธาในพระเจ้าของพายก็ถูกท้าทาย..
เมื่อครอบครัวที่เป็นเจ้าของกิจการสวนสัตว์ต้องอพยพย้ายจากอินเดียไปยังแคนาดา
เรือโดยสารที่บรรทุกสัตว์ทั้งหลาย ครอบครัวของพาย และเหล่าคนเรือได้อับปางลงกลางมหาสมุทรแปซิฟิก
และพายผู้รอดชีวิต ต้องติดอยู่บนเรือ อันประกอบไปด้วยห่วงโซ่อาหารฉบับย่อ
ที่มีม้าลาย ลิงอุรังอุตัง ไฮยีนา และเสือโคร่งเบงกอลอยู่รวมกัน
หากให้เลือกคำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุด เสือโคร่งน่าจะอยู่ในอันดับบนสุดของห่วงโซ่อาหาร
แต่พายผู้มุ่งมั่นที่จะมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้ กับศรัทธาในพระเจ้าที่เต็มเปี่ยมในหัวใจ
จะทำวิธีใดให้หลุดพ้นจากความน่าจะเป็นดังว่า ?
การเดินทางของพาย พาเทล เล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนาน น่าติดตาม
มีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป ราวกับทั้งชีวิตที่ผ่านมาก่อนเรือแตกของพาย
ได้ถูกพระเจ้าตระเตรียมเพื่อให้เขาต้องติดอยู่บนเรือกับเสือโคร่งอย่างไรอย่างนั้น
และศรัทธาในพระเจ้าขงพายได้พิสูจน์ตัวมันเอง ให้เราเห็นชอบทุกประการว่า
หากพระองค์ประทานสัตว์อื่นมา พายอาจตายไปนานแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องเล่าที่เหลือเชื่อมาก ..
“โลกไม่ได้เป็นอย่างที่มันเป็นเท่านั้นหรอก อยู่ที่ความเข้าใจของเราต่างหาก
คุณว่าไหม เรารู้จักและเข้าใจสิ่งใด ก็ต้องเติมและเสริมสิ่งนั้น คุณว่าไหม ด้วยเหตุนี้ ชีวิตจึงกลายเป็นเรื่องเล่าไง”
ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบลงด้วยความอิ่มเอมในใจ บอกกับตัวเองเบาๆว่า
ในช่วงเวลาที่มืดมิด เมื่อเหตุผลยอมจำนนต่อความกลัวที่เกาะกินใจ
ศรัทธาคือแสงสว่างเดียวที่จะยังเรืองรองอยู่ได้
มันไม่สำคัญหรอกว่าสิ่งที่เค้าเล่าว่า หรือสิ่งที่คนเชื่อกันจะเป็นอย่างไร
มันสำคัญที่เราเลือกจะเชื่ออย่างไรมากกว่า
ไม่ว่าคุณจะศรัทธาในพระเจ้าหรือศาสดาพระองค์ไหน..กระทั่งไม่มีเลยก็ตาม
อย่างน้อยหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณยังศรัทธาในชีวิต :)