22 พฤษภาคม 2556

ลาก่อนนางฟ้า

อัลบั้มรูปในวัยเด็กของฉัน เต็มไปด้วยรูปวันไหว้ครูในแต่ละปี

ที่ฉันจะถูกคัดเลือกให้เป็นคนถือพาน

ปีแล้ว ปีเล่า ปีแล้ว ปีเล่า



นักเรียนเรียนดี เด็กกิจกรรม หัวหน้าชั้น

เส้นทางอันน่าชื่นชมของเด็กประถมคนหนึ่งถูกบรรจุรวมอยู่ในอัลบั้มภาพเหล่านั้น

แต่ความทรงจำที่ตัวฉันเองจำได้แม่นๆเลยน่ะเหรอ ..



ฉันจำหน้าตา ชื่อจริง และนามสกุล ของเพื่อนผู้หญิงที่ฉันเคยจิกทึ้งผม และตีกันสมัย ป.3ได้

แม้จะลืมหน้าตาเพื่อนสนิทสมัยประถมไปเกือบหมดแล้วก็ตาม

ชื่อของเธอคือ พ.ล.ล ก.ค.



ฉันจำได้ว่าสิ่งที่ใกล้เคียงกับความกล้าหาญมากที่สุดที่เคยทำตอนเด็กๆ
คือการโมโหจนหน้ามืด และไล่กวดเพื่อนผู้ชาย ที่เป็นหัวโจกจอมเกเรประจำห้อง

เพราะมันมาแกล้งเพื่อนรักของฉัน ความตกใจหรืออะไรไม่รู้ทำให้มันวิ่งหนี และฉันก็วิ่งตาม

พอมันนึกได้ จะหันกลับมาไล่กวดฉันบ้าง ฉันก็วิ่งโร่ตีหน้าซื่อว่าถูกรังแกไปฟ้องครู

หึ..สม !



นั่นเป็นที่มาที่ตอนเด็กๆฉันมีฉายาว่า ‘แม่เสือ’



ฉันจำได้ว่าเมื่อเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอน ป. 5

ความมั่นใจอันเหลือล้นของตัวเองถูกทลายลง ด้วยการเขียนตามคำบอกผิดทั้งหมด

เพราะ เขียนประโยคที่ควรจะเป็น It is ว่า Is it

(มีนิสัยช่างถามมาตั้งแต่เด็กกันเลยจริงๆ ^^")


จำได้ด้วยว่าการเป็นเหาทำให้เราคันหัวแค่ไหน

ความรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยงเวลาที่หวีเสนียดกวาดเอาไข่เหาร่วงพรูลงมาจากผมของเราเป็นยังไง

แต่ถึงอย่างนั้น การได้บี้ไข่เหาก็เป็นอะไรที่มันสะใจดี


ฉันจำถุงเท้าที่มีรอยขาดตรงนิ้วหัวแม่โป้งได้ !


มีเพียงครั้งเดียวที่ฉันร้องโยเยไม่อยากไปโรงเรียน

มันคือตอนอนุบาลที่ฉันเขียนเลขแปด ที่เป็นเลขอารบิกไม่สวย

ฉันไม่สามารถลากเส้นสายโค้งวนต่อเนื่องมาบรรจบกันได้

คับข้องใจกับการเขียนวงกลมสองวงที่ทาบกันไม่สนิท

ทำยังไงๆ ก็ไม่สามารถเขียนให้ดีอย่างที่พอใจเลย

ถึงแม้คุณตาที่ตอนนั้นเป็นคนสอนการบ้านจะบอกว่ามันดีแล้ว

แต่ฉันรู้แน่แก่ใจว่ามันยังไม่ดีพอ !



การที่มีอะไรสักอย่างแปลกแยกแตกต่างไปจากเพื่อน

อะไรสักอย่างที่เรารู้ว่าถ้าใครรู้เข้าต้องล้อ หรือมองเราเป็นตัวประหลาดแน่ๆ

เป็นความลับอันหนักอึ้ง และยิ่งใหญ่มากสำหรับเด็กในวัยนั้น

ตอน ป.6 ฉันต้องแบกความลับประเภทที่ว่า และรู้สึกว่าถูกโลกใบนี้ทรยศหักหลัง

มันไม่ใช่คำที่ฉันใช้อธิบายกับตัวเองในตอนนั้นหรอก

แต่ก็ใช่..มันคือสิ่งที่ฉันรู้สึกจริงๆในตอนนั้น



ถึงแม้ว่ามันแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยในตอนนี้ก็ตาม ..

หรืออาจจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ในเรื่องที่มันทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าฉันต้องโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

มีบางอย่างที่ฉันต้องดูแล และรับผิดชอบในฐานะผู้ใหญ่นับจากวันนั้น



แล้วฉันก็โตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยการบอกตัวเองแบบนั้น

พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนพูดว่าแล้วฉันจะ 'เข้าใจในสักวัน'

พยายามเพื่อพบว่า ถึงแม้ไม่เข้าใจ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด

นอกจากจะเชิดหน้าเข้าไว้ ..และยอมรับมัน


แล้วความลับหนักอึ้งในแบบเด็กๆก็หายวับไป

วัยเด็กของฉันเองก็เช่นกัน :)



ลาก่อนนางฟ้า ..





จริงๆแล้วฉันเริ่มต้นด้วยความพยายามจะพูดถึงหนังสือเล่มนี้

แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างในหัวใจก็พรั่งพรูสู่ปลายนิ้ว

และทำให้ฉันต้องยอมจำนนต่อสิ่งนั้น

สิ่งที่หนังสือดีๆเล่มหนึ่งสามารถทำกับเราได้

อย่างเช่นการพาเราเข้าไปสำรวจ และเยียวยาบาดแผลในหัวใจ

ที่เราหลงคิดว่ามันหายสนิทไปแล้วตั้งนาน



โลกของผู้ใหญ่ช่างหยาบกระด้างเหลือเกิน เมื่อฉันได้ตระหนักอีกครั้งว่า

หัวใจดวงเล็กๆของเด็กๆซึมซับอะไรเอาไว้ได้บ้าง

ความรัก ความสุข ความอ่อนโยน ความหวัง ความฝัน มิตรภาพ

ความเศร้า ความอับอาย ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ ความผิดหวัง



และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น..เพราะเรารู้จักที่จะรัก



หลายครั้งที่น่าจะเจ็บมากกว่านี้ แต่ว่าอะไรเล่าที่ทำให้เขาเสียใจถึงเพียงนี้

น้ำตาที่ไหลลงโดยปราศจากเสียงสะอื้นข้างหน้าต่างวันนั้น พลอยทำให้หัวใจข้าพเจ้าเจ็บปวดไปด้วย

ใช่ ..ไม่ใช่การถูกตีหรอกที่ทำให้ปิ่นโตน้ำตาไหล แต่เป็นเพราะความรักต่างหาก



วัยเด็กของฉันผ่านไปแล้ว นางฟ้าของฉันก็จากไปแล้วเช่นกัน

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้

ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังหวังว่าผู้ใหญ่ที่เคยเป็นเด็กมาก่อนทุกคน จะสามารถจดจำนางฟ้าของตัวเอง

และคอยปกป้องเสียงหัวเราะของเด็กๆเอาไว้ เพื่อให้ทิงเกอร์เบลของพวกเขา

ยังคงมีปีกที่แข็งแรง สามารถโบยบิน โบยบิน โบยบิน ตราบเท่าที่จะยังเป็นไปได้



นอกจากจะพาเราไปให้ใกล้ชิดหัวใจตัวเองอย่างที่สุดแล้ว

หนังสือดีๆเล่มหนึ่งยังอาจทำให้เราได้ซึมซับรับรู้ว่าหัวใจดวงอื่นๆมีความรู้สึกอย่างไร
ทำให้เราเกิดความรัก ความปรารถนาดีต่อหัวใจดวงอื่นๆ
และทำให้เราได้ค้นพบความสุขสงบอันเรียบง่าย

ทำให้เราแยกไม่ออกว่าน้ำตาที่ไหลออกมานั้น เกิดจากความตื้นตัน ความสุข หรือความเศร้าใจ


นั่นแหละ สิ่งที่หนังสือดีๆสักเล่มสามารถทำกับเรา :)








13 พฤษภาคม 2556

Fifty Shades of Grey

Fifty shades of Grey


หนังสือเล่มแรกของนิยายไตรภาค Fifty shades
อันประกอบไปด้วย Fifty shades of Grey
Fifty shades Darker
และ Fifty shades of Freed
เขียนโดย E L James นักเขียนผู้โด่งดังในชั่วข้ามคืน
ทันทีที่นิยายเล่มแรกของเธอ (และเล่มแรกของไตรภาคนี้)  Fifty shades of Grey
เปิดตัวออกมาในปี 2011


และแม้ข้าพเจ้าจะแว่วข่าวถึงความโด่งดังของนิยายเรื่องนี้
แต่ก็ตามเคย..ด้วยความเป็นนักอ่าน นักดูที่หลีกเลี่ยงสปอยล์เต็มที่
(แต่แน่นอนว่ายามรีวิวหนังสือ ข้าพเจ้าก็จะสปอยล์ผู้อ่านเต็มที่ ^^"
ดังนั้นหากเป็นนักอ่านประเภทเดียวกัน โปรดหลีกเลี่ยงรีวิวนี้เถิดจะเกิดผล)


จึงไม่รู้จริงๆว่าเนื้อหาสาระของมันว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับอะไร
เรื่องจึงเริ่มต้นง่ายๆแค่เห็นมีฉบับแปลเป็นไทยแล้ว จำชื่อได้ ก็หยิบไปจ่ายตังค์
แปลกใจอยู่เหมือนกันแหละที่หน้าปกเขียนระบุไว้ว่า "21+"
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป
เกือบแนบบัตรประชาชนให้น้องพนักงานขายแล้วด้วย กลัวเค้าไม่กล้าขายให้
(ช่างกล้า ...>.<)


น้องพนักงานขายชวนคุยว่า ไม่รับเป็น  Box Set ไปเลยล่ะ
ข้าพเจ้าจึงเพิ่งรู้ว่า หนังสือเล่มนี้มันเป็น Trilogy (มีเรื่องให้เสียเงินยาวอีกแล้วครับท่าน >.<)
แล้วน้องก็ยังชวนคุยโน่นนี่ ว่ารู้เรื่องราวมาบ้างแล้วใช่ไหม ถ้าอ่านไม่ครบก็เหมือนดูหนังไม่รู้ตอนจบนะ
บลาๆๆ ข้าพเจ้าก็ได้แต่ยิ้ม อมภูมิที่ไม่ค่อยจะมี พลางนึกสงสัยเต็มที่ว่ามันเกี่ยวกับเรืองอะไรว้า
ปกติซื้อหนังสือไม่เคยเจอพนักงานขายชวนคุยอ่ะ ^^


ได้เล่มแรกกลับมาเล่มเดียวก่อน เปิดหนังสือ
และเริ่มต้นที่คำนำ (ซึ่งในเล่มนี้คือบทบรรณาธิการ)ก่อน
ตามแบบแผนการอ่านหนังสือของข้าพเจ้า เพื่อที่จะพบว่า บทบรรณาธิการทั้งหกหน้า
ถูกใช้ไปเพื่อเปิดใจคนอ่านให้เห็นว่าเชิงสังวาสที่จะได้อ่านต่อไปในหนังสือเล่มนี้
ก็เฉกเช่นเดียวกับที่ปรากฏในวรรณกรรมทุกยุคทุกสมัย
แตกต่างก็แต่ค่านิยม ความเชื่อของสังคม วัฒนธรรมประเพณีที่เปลี่ยนไป
แม้กระทั่งทัศนคติของเรื่องนี้ระหว่างสังคมไทย กับสังคมตะวันตกก็แตกต่างกัน


เฮ้ ! เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเป็นเพียงแค่นั้นจริงๆ เหตุไฉนต้องใช้บทบรรณาธิการถึงหกหน้าเชียวล่ะ ?


ข้อสงสัยนี้คลี่คลายไปทันทีที่อ่านหนังสือไปได้สักครึ่งเล่ม
โดยความเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่า ฉากอีโรติกที่ผิดแผกไปจากบรรทัดฐานที่ปกติในหนังสือนั้น
เป็นเพียงแค่การเปิดเผยบางแง่มุมของโลกที่ถูกซ่อนไว้ในมุมมืด
แต่เราทุกคนรู้ว่ามันมีอยู่จริง ให้นักอ่านได้อ่าน
และในฐานะนักอ่าน หากไม่พยายามตีโพยตีพายจนเกินงาม
มันก็คล้ายๆกับการที่ เราไม่เคยไปเที่ยวเมืองจีน แต่รู้ว่ามีเมืองจีนอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก
และรู้จักเมืองจีนได้ผ่านตัวหนังสือ ส่วนจะอยากไปเมืองจีนให้เห็นสิ่งที่ได้รู้กับตาหรือไม่นั้น
ก็ว่ากันไปตามรสนิยมของแต่ละบุคคลนั่นแล
..ก็แค่นั้น







แต่ที่ทำให้ขัดใจจริงๆ ไม่ใช่ "การมีอยู่" แต่เป็น "มีเยอะจนเกินพอดี" ของฉากดังว่าต่างหาก
จริงๆแล้วในบทแรกๆของหนังสือ สามารถเปิดตัว "คริสเตียน เกรย์" พระเอกของเรื่องได้อย่างน่าสนใจมาก
ด้วยคาแรคเตอร์ ของมหาเศรษฐีหนุ่ม (โคตร)หล่อ อารมณ์ซับซ้อน มีสเน่ห์และลึกลับ
แม้แต่ตอนที่เฉลยแล้วว่า เขาเป็นพวกที่มีรสนิยมทางเพศผิดแผกไปจากบรรทัดฐานปกติก็ตาม
แต่การปรากฏอยู่ของมุมที่มืดที่สุดของสีเทา
เพื่อสะท้อนถึงปมปัญหาจากภูมิหลังในอดีตที่ส่งผลกระทบถึงปัจจุบันนั้น
ก็ดูจะเพิ่มความหนักแน่นจริงจัง น่าค้นหาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
และชวนให้สงสัยว่า เขาจะกลับมาสู่ส่วนที่สว่างของสีเทาจางๆ ได้ไหม


น่าค้นหาและชวนให้สงสัย จนกระทั่งอ่านผ่านไปอีกครึ่งเล่มหลัง
ก็ยังพบว่า "ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีก นอกจากฉากดังว่า" ..ไปจนจบเล่มนั่นแหละ


เฮ้อ..
ขอไว้อาลัยให้หนังสือ และตัวเองที่อ่านไปจนจบเป็นเวลาหนึ่งนาที
นี่ถ้าหากอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ ฉันก็คงต้องเสียเงินซื้อเล่มสองสินะ T^T


แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่มีดี
หากตัดความเยิ่นเย้อในส่วนที่ไม่จำเป็นต้อง เย้อออออออ ออกไป
(หรือจำเป็นก็ไม่รู้ เพราะคิดว่าส่วนหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก คงเพราะมีจุดขายที่แตกต่างออกไป)
ข้าพเจ้ารู้สึกชอบตัวละคร "คริสเตียน เกรย์" เป็นพิเศษ
จัดเป็นตัวละครที่มีสเน่ห์ แบบที่ไม่ถึงกับน่าหลงใหลคลั่งไคล้
(อย่างที่นางเอกของเรื่องรู้สึกได้อย่างเวอร์มาก)
แต่น่าสนใจค้นหา


ในห้าสิบเฉดของสีเทา มันคงเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ภาพตัวเราเองที่สะท้อนให้เห็นในกระจกเงา
กับภาพที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลกนั้นแตกต่างกันอย่างสุดขอบคนละด้าน
และ คริสเตียน เกรย์ ก็มีชีวิตที่น่าเศร้าแบบนั้น


มันทำให้คนอ่านอย่างเราต้องมาทบทวนตัวเองว่า เราเคย "ตัดสิน"ใครว่าเป็นอย่างไรไปแล้วบ้าง
สิ่งที่เราเห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็น และในสิ่งที่เขาเป็น ก็ยังมีเหตุผล เรื่องราว ที่มาที่ไปอีกมากมาย
ที่ถ้าหากเราไม่เคยพยายามจะเข้าใจ เราก็อาจจะเห็นและตัดสินกันง่ายๆ ว่า
"อี๋ วิตถาร"


บางสิ่งบางอย่าง บางวิถีทางในโลกนี้มันมีอยู่ และเป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าเราจะชอบ หรือไม่ชอบ เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย เข้าใจ หรือไม่เข้าใจก็ตาม
มันอาจจะเป็นส่วนสีเทาที่เข้มที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่ง
แต่ก็ใช่ว่านั่นคือสิ่งที่แสดงตัวตนทั้งหมดของคนคนนั้น
เราทุกคนล้วนมีหลากหลายเฉดสีเทาที่แตกต่างกัน


และก็เพราะมีแสงสว่างมิใช่หรือที่ทำให้เกิดเงา :)



3 พฤษภาคม 2556

A Game of Thornes..เกมล่าบัลลังก์



A Game of Thornes หรือเกมล่าบัลลังก์
เป็นภาคปฐมบทของ มหาศึกชิงบัลลังก์ - A Song of Ice and Fire
เขียนโดย จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน
โดยมหากาพย์ชุดนี้ ประกอบไปด้วยหนังสือทั้งหมด 7 ภาค คือ



A Game of Thrones (1996)
A Clash of Kings  (1999)
A Storm of Swords (2000)
A Feast for Crows (2005)
A Dance with Dragons (2011)



และสองเล่มสุดท้ายคือ
The Winds of Winter   และ
A Dream of Spring
นั้นยังเขียนไม่เสร็จ และยังไม่มีกำหนดออกจำหน่าย




จำได้ว่าได้ยินชื่อเสียงของมหากาพย์เรื่องนี้มาตั้งแต่หลายปีก่อน
ตอนที่ซีรีส์ตอนแรก A Game of Thorne เริ่มออกฉาย
เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดพี่เอยในตอนนั้น ยังไม่ทำให้รู้สึกนึกอยากดูขึ้นมาสักเท่าไหร่
อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตให้ต้องเริ่มต้นจากการอ่านหนังสือก่อนก็ได้
(ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องขอบคุณฟ้า :))



จนกระทั่งปฐมบทภาคแรกถูกแปลออกมาเป็นภาษาไทย
และน้องชายผู้คะยั้นคะยอให้ดูซีรี่ส์มาตั้งแต่ต้น ได้ส่งสาส์นมาถึง
ว่าหากไม่ยอมดู ก็จงไปหาอ่านซะ อ่านเสร็จแล้วจะขอยืมอ่านต่อ
เหวออออ..อ่านเสร็จแล้วจะขอยืมอ่านต่อ..น้องชายผู้ไม่ชอบอ่านหนังสือของข้าพเจ้านี่นะ



ไม่ได้การแล้ว เราต้องพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญไปแน่ๆ
ในเมื่อน้องชายผู้ดูซีรี่ส์แล้ว และไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ
(เค้าบอกให้แก้ข่าวใหม่น่ะ ^^) ถึงขนาดบอกว่าอยากจะอ่าน
ในเย็นวันนั้นเลย ข้าพเจ้าจึงไปถอย A Game of Thornes จากร้านหนังสือ
ทั้งเล่ม 1.1 และ 1.2 ซึ่งมีความหนารวมกันประมาณหนึ่งพันหน้า
ใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่ 4 วันทำการ (หมายถึงต้องทำงานไปด้วย ^^)
ก็พบว่า เสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้น ล้วนมีมูลเหตุและที่มา





A Game of Thornes ใช้วิธีการดำเนินเรื่องผ่านการเล่าเรื่อง
ของตัวละครที่หลากหลาย ในแง่มุมที่แตกต่าง
หนึ่งบท ต่อหนึ่งตัวละคร  จะค่อยๆนำพาเนื้อเรื่องให้ดำเนินไปข้างหน้า
พร้อมกับให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครตัวนั้นๆ สลับกันไปในแต่ละบท
เป็นวิธีที่ช่วยสร้างตัวตนที่ชัดเจนให้กับตัวละครหลัก 
(ที่เอาแค่หลักๆก็ยังนับว่ามากจนต้องค่อยๆจดจำกันไป)
สร้างความผูกพันระหว่างตัวละครกับคนอ่าน เพราะการมองเรื่องราวผ่านสายตาของตัวละครเหล่านั้น
ทำให้เรารู้สึก ในสิ่งที่เขารู้สึก  เข้าใจถึงเหตุผลของการกระทำในเบื้องลึก
ที่นำไปสู่การตัดสินใจทำในสิ่งต่างๆ ซึ่งบางครั้ง ไม่อาจนับได้ว่ามีเกียรติ หรือขาวสะอาด 
แต่แม้ในขณะที่ในใจเราภาวนาให้ตัวละคร (ตัวโปรด)เลือกทำอีกอย่าง
หากลองย้อนกลับมาถามตัวเราเองด้วยความซื่อสัตย์ และจริงจัง
คำตอบที่ได้ก็อาจจะยังไม่ใช่อย่างที่เราภาวนาไว้เลย



พวกเขาจึงผิดพลาด จึงเห็นแก่ตัว จึงเต็มไปด้วยเลือดเนื้อและชีวิตอยู่ในเกมล่าบัลลังก์
เกมที่กติกามีแค่  "You win or You die"  ดังนั้นในเกมชิงอำนาจนี้
ถูกผิดจึงตัดสินที่เราจะมองในมุมของใคร
ไม่มีโค-ตรพระเอก หรือโค-ตรผู้ร้าย ตัวละครทุกตัวล้วนมีมิติเชิงลึกที่ซับซ้อน น่าสนใจ
และถูกสถานการณ์รอบตัวอันโหดร้าย ดึงด้านมืดของตัวเองออกมา
เรื่องราวจึงคาดเดาไม่ได้ และพลิกผันอยู่ตลอดเวลา
เพราะเป็นไปตามการตัดสินใจของตัวละครหลากหลายตัวที่ส่งผลกระทบต่อกัน



ในส่วนของความเป็นแฟนตาซี  ภาคแรกนี้ยังไม่ค่อยเห็นโดดเด่นนัก
เรื่องราวเหนือธรรมชาติต่างๆปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่องในลักษณะของตำนานเล่าขานเท่านั้น
มีเพียงช่วงท้ายเรื่องที่ทิ้งปมประเภทที่ทำให้เราต้องอ้าปากค้าง ว่าแล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป
โดยหากในภาคต่อๆจากนี้ไป สามารถผสมผสานความเป็นดราม่าที่ทำได้ดีอยู่แล้ว
กับความเป็นแฟนตาซีที่สนุกสนานตื่นเต้นน่าสนใจได้อย่างกลมกล่อมลงตัวแล้วล่ะก็
ถึงแม้จะมีเจ็ดเล่ม หรือเจ็ดพันหน้า มหากาพย์ชุดนี้ก็ยังควรค่าแก่การติดตามในความเห็นของข้าพเจ้า



โศกนาฏกรรม การทรยศหักหลัง การช่วงชิงอำนาจ ผลประโยชน์ต่างๆ สงคราม
ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ ความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ความเดือดร้อนของประชาชนผู้เป็นเหยื่ออย่างแท้จริง
..ชั่วขณะหนึ่ง เรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เรื่องราวในหนังสือ และในชีวิตจริง ราวกับเป็นเรื่องเดียวกันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหน้าประวัติศาสตร์


แต่มนุษย์ก็ไม่เคยเรียนรู้และจดจำ ..


ครั้งแล้วครั้งเล่าเราจึงต้องเผชิญกับความมืดมิดและเหน็บหนาวอันยาวนาน
และ..ฤดูหนาวกำลังจะมา