22 พฤษภาคม 2556

ลาก่อนนางฟ้า

อัลบั้มรูปในวัยเด็กของฉัน เต็มไปด้วยรูปวันไหว้ครูในแต่ละปี

ที่ฉันจะถูกคัดเลือกให้เป็นคนถือพาน

ปีแล้ว ปีเล่า ปีแล้ว ปีเล่า



นักเรียนเรียนดี เด็กกิจกรรม หัวหน้าชั้น

เส้นทางอันน่าชื่นชมของเด็กประถมคนหนึ่งถูกบรรจุรวมอยู่ในอัลบั้มภาพเหล่านั้น

แต่ความทรงจำที่ตัวฉันเองจำได้แม่นๆเลยน่ะเหรอ ..



ฉันจำหน้าตา ชื่อจริง และนามสกุล ของเพื่อนผู้หญิงที่ฉันเคยจิกทึ้งผม และตีกันสมัย ป.3ได้

แม้จะลืมหน้าตาเพื่อนสนิทสมัยประถมไปเกือบหมดแล้วก็ตาม

ชื่อของเธอคือ พ.ล.ล ก.ค.



ฉันจำได้ว่าสิ่งที่ใกล้เคียงกับความกล้าหาญมากที่สุดที่เคยทำตอนเด็กๆ
คือการโมโหจนหน้ามืด และไล่กวดเพื่อนผู้ชาย ที่เป็นหัวโจกจอมเกเรประจำห้อง

เพราะมันมาแกล้งเพื่อนรักของฉัน ความตกใจหรืออะไรไม่รู้ทำให้มันวิ่งหนี และฉันก็วิ่งตาม

พอมันนึกได้ จะหันกลับมาไล่กวดฉันบ้าง ฉันก็วิ่งโร่ตีหน้าซื่อว่าถูกรังแกไปฟ้องครู

หึ..สม !



นั่นเป็นที่มาที่ตอนเด็กๆฉันมีฉายาว่า ‘แม่เสือ’



ฉันจำได้ว่าเมื่อเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอน ป. 5

ความมั่นใจอันเหลือล้นของตัวเองถูกทลายลง ด้วยการเขียนตามคำบอกผิดทั้งหมด

เพราะ เขียนประโยคที่ควรจะเป็น It is ว่า Is it

(มีนิสัยช่างถามมาตั้งแต่เด็กกันเลยจริงๆ ^^")


จำได้ด้วยว่าการเป็นเหาทำให้เราคันหัวแค่ไหน

ความรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยงเวลาที่หวีเสนียดกวาดเอาไข่เหาร่วงพรูลงมาจากผมของเราเป็นยังไง

แต่ถึงอย่างนั้น การได้บี้ไข่เหาก็เป็นอะไรที่มันสะใจดี


ฉันจำถุงเท้าที่มีรอยขาดตรงนิ้วหัวแม่โป้งได้ !


มีเพียงครั้งเดียวที่ฉันร้องโยเยไม่อยากไปโรงเรียน

มันคือตอนอนุบาลที่ฉันเขียนเลขแปด ที่เป็นเลขอารบิกไม่สวย

ฉันไม่สามารถลากเส้นสายโค้งวนต่อเนื่องมาบรรจบกันได้

คับข้องใจกับการเขียนวงกลมสองวงที่ทาบกันไม่สนิท

ทำยังไงๆ ก็ไม่สามารถเขียนให้ดีอย่างที่พอใจเลย

ถึงแม้คุณตาที่ตอนนั้นเป็นคนสอนการบ้านจะบอกว่ามันดีแล้ว

แต่ฉันรู้แน่แก่ใจว่ามันยังไม่ดีพอ !



การที่มีอะไรสักอย่างแปลกแยกแตกต่างไปจากเพื่อน

อะไรสักอย่างที่เรารู้ว่าถ้าใครรู้เข้าต้องล้อ หรือมองเราเป็นตัวประหลาดแน่ๆ

เป็นความลับอันหนักอึ้ง และยิ่งใหญ่มากสำหรับเด็กในวัยนั้น

ตอน ป.6 ฉันต้องแบกความลับประเภทที่ว่า และรู้สึกว่าถูกโลกใบนี้ทรยศหักหลัง

มันไม่ใช่คำที่ฉันใช้อธิบายกับตัวเองในตอนนั้นหรอก

แต่ก็ใช่..มันคือสิ่งที่ฉันรู้สึกจริงๆในตอนนั้น



ถึงแม้ว่ามันแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยในตอนนี้ก็ตาม ..

หรืออาจจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ในเรื่องที่มันทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าฉันต้องโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

มีบางอย่างที่ฉันต้องดูแล และรับผิดชอบในฐานะผู้ใหญ่นับจากวันนั้น



แล้วฉันก็โตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยการบอกตัวเองแบบนั้น

พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนพูดว่าแล้วฉันจะ 'เข้าใจในสักวัน'

พยายามเพื่อพบว่า ถึงแม้ไม่เข้าใจ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด

นอกจากจะเชิดหน้าเข้าไว้ ..และยอมรับมัน


แล้วความลับหนักอึ้งในแบบเด็กๆก็หายวับไป

วัยเด็กของฉันเองก็เช่นกัน :)



ลาก่อนนางฟ้า ..





จริงๆแล้วฉันเริ่มต้นด้วยความพยายามจะพูดถึงหนังสือเล่มนี้

แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างในหัวใจก็พรั่งพรูสู่ปลายนิ้ว

และทำให้ฉันต้องยอมจำนนต่อสิ่งนั้น

สิ่งที่หนังสือดีๆเล่มหนึ่งสามารถทำกับเราได้

อย่างเช่นการพาเราเข้าไปสำรวจ และเยียวยาบาดแผลในหัวใจ

ที่เราหลงคิดว่ามันหายสนิทไปแล้วตั้งนาน



โลกของผู้ใหญ่ช่างหยาบกระด้างเหลือเกิน เมื่อฉันได้ตระหนักอีกครั้งว่า

หัวใจดวงเล็กๆของเด็กๆซึมซับอะไรเอาไว้ได้บ้าง

ความรัก ความสุข ความอ่อนโยน ความหวัง ความฝัน มิตรภาพ

ความเศร้า ความอับอาย ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ ความผิดหวัง



และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น..เพราะเรารู้จักที่จะรัก



หลายครั้งที่น่าจะเจ็บมากกว่านี้ แต่ว่าอะไรเล่าที่ทำให้เขาเสียใจถึงเพียงนี้

น้ำตาที่ไหลลงโดยปราศจากเสียงสะอื้นข้างหน้าต่างวันนั้น พลอยทำให้หัวใจข้าพเจ้าเจ็บปวดไปด้วย

ใช่ ..ไม่ใช่การถูกตีหรอกที่ทำให้ปิ่นโตน้ำตาไหล แต่เป็นเพราะความรักต่างหาก



วัยเด็กของฉันผ่านไปแล้ว นางฟ้าของฉันก็จากไปแล้วเช่นกัน

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้

ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังหวังว่าผู้ใหญ่ที่เคยเป็นเด็กมาก่อนทุกคน จะสามารถจดจำนางฟ้าของตัวเอง

และคอยปกป้องเสียงหัวเราะของเด็กๆเอาไว้ เพื่อให้ทิงเกอร์เบลของพวกเขา

ยังคงมีปีกที่แข็งแรง สามารถโบยบิน โบยบิน โบยบิน ตราบเท่าที่จะยังเป็นไปได้



นอกจากจะพาเราไปให้ใกล้ชิดหัวใจตัวเองอย่างที่สุดแล้ว

หนังสือดีๆเล่มหนึ่งยังอาจทำให้เราได้ซึมซับรับรู้ว่าหัวใจดวงอื่นๆมีความรู้สึกอย่างไร
ทำให้เราเกิดความรัก ความปรารถนาดีต่อหัวใจดวงอื่นๆ
และทำให้เราได้ค้นพบความสุขสงบอันเรียบง่าย

ทำให้เราแยกไม่ออกว่าน้ำตาที่ไหลออกมานั้น เกิดจากความตื้นตัน ความสุข หรือความเศร้าใจ


นั่นแหละ สิ่งที่หนังสือดีๆสักเล่มสามารถทำกับเรา :)