3 พฤษภาคม 2556

A Game of Thornes..เกมล่าบัลลังก์



A Game of Thornes หรือเกมล่าบัลลังก์
เป็นภาคปฐมบทของ มหาศึกชิงบัลลังก์ - A Song of Ice and Fire
เขียนโดย จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน
โดยมหากาพย์ชุดนี้ ประกอบไปด้วยหนังสือทั้งหมด 7 ภาค คือ



A Game of Thrones (1996)
A Clash of Kings  (1999)
A Storm of Swords (2000)
A Feast for Crows (2005)
A Dance with Dragons (2011)



และสองเล่มสุดท้ายคือ
The Winds of Winter   และ
A Dream of Spring
นั้นยังเขียนไม่เสร็จ และยังไม่มีกำหนดออกจำหน่าย




จำได้ว่าได้ยินชื่อเสียงของมหากาพย์เรื่องนี้มาตั้งแต่หลายปีก่อน
ตอนที่ซีรีส์ตอนแรก A Game of Thorne เริ่มออกฉาย
เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดพี่เอยในตอนนั้น ยังไม่ทำให้รู้สึกนึกอยากดูขึ้นมาสักเท่าไหร่
อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตให้ต้องเริ่มต้นจากการอ่านหนังสือก่อนก็ได้
(ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องขอบคุณฟ้า :))



จนกระทั่งปฐมบทภาคแรกถูกแปลออกมาเป็นภาษาไทย
และน้องชายผู้คะยั้นคะยอให้ดูซีรี่ส์มาตั้งแต่ต้น ได้ส่งสาส์นมาถึง
ว่าหากไม่ยอมดู ก็จงไปหาอ่านซะ อ่านเสร็จแล้วจะขอยืมอ่านต่อ
เหวออออ..อ่านเสร็จแล้วจะขอยืมอ่านต่อ..น้องชายผู้ไม่ชอบอ่านหนังสือของข้าพเจ้านี่นะ



ไม่ได้การแล้ว เราต้องพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญไปแน่ๆ
ในเมื่อน้องชายผู้ดูซีรี่ส์แล้ว และไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ
(เค้าบอกให้แก้ข่าวใหม่น่ะ ^^) ถึงขนาดบอกว่าอยากจะอ่าน
ในเย็นวันนั้นเลย ข้าพเจ้าจึงไปถอย A Game of Thornes จากร้านหนังสือ
ทั้งเล่ม 1.1 และ 1.2 ซึ่งมีความหนารวมกันประมาณหนึ่งพันหน้า
ใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่ 4 วันทำการ (หมายถึงต้องทำงานไปด้วย ^^)
ก็พบว่า เสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้น ล้วนมีมูลเหตุและที่มา





A Game of Thornes ใช้วิธีการดำเนินเรื่องผ่านการเล่าเรื่อง
ของตัวละครที่หลากหลาย ในแง่มุมที่แตกต่าง
หนึ่งบท ต่อหนึ่งตัวละคร  จะค่อยๆนำพาเนื้อเรื่องให้ดำเนินไปข้างหน้า
พร้อมกับให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครตัวนั้นๆ สลับกันไปในแต่ละบท
เป็นวิธีที่ช่วยสร้างตัวตนที่ชัดเจนให้กับตัวละครหลัก 
(ที่เอาแค่หลักๆก็ยังนับว่ามากจนต้องค่อยๆจดจำกันไป)
สร้างความผูกพันระหว่างตัวละครกับคนอ่าน เพราะการมองเรื่องราวผ่านสายตาของตัวละครเหล่านั้น
ทำให้เรารู้สึก ในสิ่งที่เขารู้สึก  เข้าใจถึงเหตุผลของการกระทำในเบื้องลึก
ที่นำไปสู่การตัดสินใจทำในสิ่งต่างๆ ซึ่งบางครั้ง ไม่อาจนับได้ว่ามีเกียรติ หรือขาวสะอาด 
แต่แม้ในขณะที่ในใจเราภาวนาให้ตัวละคร (ตัวโปรด)เลือกทำอีกอย่าง
หากลองย้อนกลับมาถามตัวเราเองด้วยความซื่อสัตย์ และจริงจัง
คำตอบที่ได้ก็อาจจะยังไม่ใช่อย่างที่เราภาวนาไว้เลย



พวกเขาจึงผิดพลาด จึงเห็นแก่ตัว จึงเต็มไปด้วยเลือดเนื้อและชีวิตอยู่ในเกมล่าบัลลังก์
เกมที่กติกามีแค่  "You win or You die"  ดังนั้นในเกมชิงอำนาจนี้
ถูกผิดจึงตัดสินที่เราจะมองในมุมของใคร
ไม่มีโค-ตรพระเอก หรือโค-ตรผู้ร้าย ตัวละครทุกตัวล้วนมีมิติเชิงลึกที่ซับซ้อน น่าสนใจ
และถูกสถานการณ์รอบตัวอันโหดร้าย ดึงด้านมืดของตัวเองออกมา
เรื่องราวจึงคาดเดาไม่ได้ และพลิกผันอยู่ตลอดเวลา
เพราะเป็นไปตามการตัดสินใจของตัวละครหลากหลายตัวที่ส่งผลกระทบต่อกัน



ในส่วนของความเป็นแฟนตาซี  ภาคแรกนี้ยังไม่ค่อยเห็นโดดเด่นนัก
เรื่องราวเหนือธรรมชาติต่างๆปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่องในลักษณะของตำนานเล่าขานเท่านั้น
มีเพียงช่วงท้ายเรื่องที่ทิ้งปมประเภทที่ทำให้เราต้องอ้าปากค้าง ว่าแล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป
โดยหากในภาคต่อๆจากนี้ไป สามารถผสมผสานความเป็นดราม่าที่ทำได้ดีอยู่แล้ว
กับความเป็นแฟนตาซีที่สนุกสนานตื่นเต้นน่าสนใจได้อย่างกลมกล่อมลงตัวแล้วล่ะก็
ถึงแม้จะมีเจ็ดเล่ม หรือเจ็ดพันหน้า มหากาพย์ชุดนี้ก็ยังควรค่าแก่การติดตามในความเห็นของข้าพเจ้า



โศกนาฏกรรม การทรยศหักหลัง การช่วงชิงอำนาจ ผลประโยชน์ต่างๆ สงคราม
ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ ความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ความเดือดร้อนของประชาชนผู้เป็นเหยื่ออย่างแท้จริง
..ชั่วขณะหนึ่ง เรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เรื่องราวในหนังสือ และในชีวิตจริง ราวกับเป็นเรื่องเดียวกันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหน้าประวัติศาสตร์


แต่มนุษย์ก็ไม่เคยเรียนรู้และจดจำ ..


ครั้งแล้วครั้งเล่าเราจึงต้องเผชิญกับความมืดมิดและเหน็บหนาวอันยาวนาน
และ..ฤดูหนาวกำลังจะมา